ทริปเที่ยวยุโรปตะวันออก 13 วัน ด้วยเงิน 55,000 บาท

e700_2

เที่ยวยุโรปสัมผัสเมืองสวยในดินแดนยุโรปตะวันออก อีกหนึ่งเส้นทางท่องเที่ยวต่างประเทศในฝันของใครหลายคน ที่อยากชื่นชมและสัมผัสบรรยากาศความสวยงามเหมือนในเทพนิยาย

เราเชื่อว่าหนึ่งในความใฝ่ฝันของนักเดินทางหลาย ๆ คน นั่นคือการเดินทางเที่ยวยุโรป ซึ่งถือได้ว่าเป็นดินแดนในฝันสุดโรแมนติก ไม่ว่าจะเป็นเมืองดัง ๆ อย่างปารีส ลอนดอน และโรม แต่วันนี้เราจะพาไปตะลุยกับอีกหลากหลายเมืองในเส้นทางท่องเที่ยวยุโรป ตามรอย คุณ Uncle bear traveler สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม ที่อาสาพาเราตะลุย 8 เมืองสวย ได้แก่ Budapest (Hungary), Prague (Czech Republic), Cezky Krumlov (Czech republic), Hallstatt (Austria), Salzburg (Austria), Munich (Germany), Fussen (Germany) และ Vienna (Austria) รวมทั้งหมด 13 วัน กับค่าใช้จ่ายตลอดทริป 55,500 บาท !!! มาดูกันสิว่า…แต่ละเมืองจะสวยงามดุจเมืองในฝันดั่งเทพนิยาย และทำให้เราหลงเสน่ห์แห่งความงามนั้นได้มากน้อยแค่ไหน

++++++++++++++++++++

Europe Trip in Autumn 8 เมืองสวยในฝันดั่งเทพนิยาย แห่งยุโรปตะวันออก

Europe Trip เที่ยว 8 เมืองสวยในฝัน

1. Budapest (Hungary) – บูดาเปสต์ เมืองที่เปี่ยมไปด้วยประวัติศาสตร์ คลาสสิก โรแมนติก สวยทุกมุมมอง

2. Prague (Czech Republic) – ปราก เมืองเก่าที่ยังคงมีมนตร์ขลังเหนือกาลเวลา

3. Cezky Krumlov (Czech republic) – เชสกีกรุมลอฟ เมืองแห่งเทพนิยายที่มีอยู่จริงบนโลก

4. Hallstatt (Austria) – ฮัลล์สตัทท์ หมู่บ้านริมทะเลสาบที่สวยที่สุดในโลก

5. Salzburg (Austria) – ซาลซ์บูร์ก บ้านเกิดโมสาร์ท นักประพันธ์ดนตรีคลาสสิกระดับโลก

6. Munich (Germany) – มิวนิกสวรรค์ของนักดื่มเบียร์และขาหมูเยอรมันอันเลื่องชื่อ

7. Fussen (Germany) Neuschwanstein Castle – ปราสาทเทพนิยายเจ้าหญิงนิทรา

8. Vienna (Austria) – เวียนนา เมืองที่พร้อมให้คุณได้ดื่มด่ำกับงานศิลปะระดับโลก

x2

สวัสดีครับ วันนี้ผมจะมาแบ่งปันเรื่องราวและประสบการณ์ที่ผมกับเพื่อน ๆ ได้ไปท่องเที่ยวยุโรปตะวันออก 4 ประเทศ 8 เมือง รวมทั้งหมด 13 วัน กับค่าใช้จ่ายตลอดทริป 55,500 บาท เป็นการท่องเที่ยวแบบ Backpack ที่พวกเราแพลนเที่ยวกันเอง ทริปนี้มีสมาชิกร่วมอุดมการณ์ 4 คน ยุโรปทริปของพวกเราเกิดจากการรวมตัวของคนที่รักในการท่องเที่ยวและยากจะไปยุโรปตะวันออก เมืองที่มีความคลาสสิกและสวยงาม

โดยเนื้อหาของการรีวิวในส่วนแรกนี้ผมจะเน้นที่การเตรียมตัวก่อนการเดินทาง การเขียนแผนการเดินทาง (Travel itinerary) เพื่อยื่นขอเชงเก้นวีซ่า (Schengen Visa) การจองที่พัก การใช้ Google map ในการวางแผนเที่ยวในแต่ละเมือง ค่าใช้จ่าย (Budget) และสุดท้ายเป็นการวีวิวการท่องเที่ยวในแต่ละเมือง ส่วนรายละเอียดแบบเจาะลึกนั้นผมจะมารีวิวอีกทีในครั้งต่อไปนะครับ

ผมหวังว่าการรีวิวของผมในครั้งนี้จะเป็นแรงบันดาลใจให้กับเพื่อน ๆ อย่าเก็บความฝันที่อยากจะเที่ยวยุโรปไว้เป็นเพียงแค่ความฝัน เชื่อผมยุโรปไปเองได้ง่ายนิดเดียว

ฝากรีวิวแรกที่ผมเขียนด้วยนะครับ

> ลุยเดี่ยว เที่ยวญี่ปุ่นเมืองหิมะ 6วัน 5คืน ด้วยเงิน 20,000 บาท (Takayama, Matsumoto, Nagano, Shibu)

Part 1 : การเตรียมตัวก่อนการเดินทาง

1. Timing : การเลือกช่วงเวลา

สำคัญมากนะครับเพราะเราจะได้เตรียมความพร้อมทั้งในเรื่องของการแต่งตัวรวมถึงการวางแผนการเที่ยวได้ถูก โดยทริปนี้พวกเราเลือกเดิน ทางวันที่ 12-24 ตุลาคม 2017 ซึ่งเป็นช่วง Autumn อากาศก็จะเริ่มเย็นลง แต่ก็ยังถือว่าเป็นฤดูที่น่าเที่ยวของยุโรปอยู่นะครับ ใบไม้จะเริ่มเปลี่ยนสีจากสีเขียวเป็นสีเหลืองปนน้ำตาล อากาศช่วงนี้กำลังเย็นสบาย อุณหภูมิเฉลี่ยก็สิบกว่าองศา กลางวันจะยังคงยาวนานกว่าช่วงหน้าหนาว ทำให้มีเวลาเที่ยวเยอะมากกว่าครับ ช่วงที่พวกเราไปกันเป็นช่วงฤดูใบไม้ร่วงพอดี บรรยากาศมันก็จะเหลือง ๆ น้ำตาล ๆ หน่อยครับ

x60

x1

x59

x57

x58

2. Visa Applying : การยื่นเอกสารเพื่อขอวีซ่าเชงเก้น

ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกับเจ้าวีซ่าเชงเก้น (Shengen) กันก่อนนะครับ เชงเก้นเป็นวีซ่าสำหรับกลุ่มประเทศในโซนยุโรป วีซ่านี้สามารถท่องเที่ยวได้ 26 ประเทศในยุโรโซน โดยการเลือกขอวีซ่าเชงเก้นกับประเทศไหนดี มีวิธีพิจารณาอยู่ 2 ข้อ คือ

1. เลือกขอวีซ่ากับประเทศที่อยู่นานที่สุด
2. กรณีที่เดินทางเฉลี่ยเท่ากันทุกประเทศ ให้ขอวีซ่ากับประเทศที่เข้าเป็นประเทศแรก

พวกเราอยู่ฮังการีนานสุดรวม 4 วัน เราจึงขอวีซ่ากับประเทศนี้ โดยรายละเอียดของเอกสารที่ต้องเตรียมสามารถดูได้จากเว็บไซต์ของทางสถานทูตฮังการี Link : https://bangkok.mfa.gov.hu/tha/page/konzuli-tajekoztatas

สำหรับการเขียนแผนการเดินทาง (Travel itinerary) เพื่อยื่นขอเชงเก้นวีซ่า (Schengen Visa) เป็นการเขียนบอกรายละเอียดว่าเราจะไปที่ไหนบ้าง ไปอย่างไร พักที่ไหน เป็นระยะเวลานานแค่ไหน โดยต้องเขียนเป็นภาษาอังกฤษนะครับ การยื่นขอวีซ่ากับทางสถานทูตฮังการีถ้าเอกสารเราพร้อมเขียนแผนการเดินทางชัดเจน วีซ่าผ่านแน่นอนไม่ต้องสัมภาษณ์ด้วยครับ

x5

3. Hotel Booking : การจองที่พัก

การเลือกที่พัก สิ่งที่ผมให้ความสำคัญเป็นอันดับต้น ๆ คือ Location คือต้องใกล้ระบบขนส่งสถานีรถไฟ เพื่อความสะดวกในการเดินทาง เพราะเราคงไม่อยากเหนื่อยในการลากกระเป๋าเดินไกล ๆ ผมมีทริคส่วนตัวครับ โดยผมจะใช้อยู่ 3 application/websites ในการเลือกที่พัก

1. Booking.com ที่พักส่วนใหญ่จะสามารถยกเลิกได้ จองก่อนได้เลยแล้วค่อยจ่ายเงินที่หลังเมื่อไปถึงโรงแรมตัว application ใช้ง่าย

2. Maps.google.com (Google map street view) อันนี้ใช้ดูสถานที่จริง ถึงแม้ตัวเราจะอยู่เมืองไทยแต่เราสามารถเข้าไปดูสถานที่จริงก่อนไปได้

3. TripAdvisor.com เป็นรีวิวจากนักเดินทางจริง ๆ โดยเฉพาะชาวต่างชาติเขาจะค่อนข้าง comment กันตามจริง ตั้งแต่การบริการ ความสะอาด ไปจนถึงที่ตั้งของโรงแรม ตารางข้างล่างผมรวบรวมที่พักตลอดทริปยุโรปของพวกเรา ผมทำเป็นตารางจะได้ง่ายในการจัดการ

x56

ที่พักของพวกเราห้องจริงกับรูปในอินเทอร์เน็ตก็จะเหมือน ๆ กันครับ ตกแต่งภายในสไตล์วินเทจ

x4

4. Transportation : การพิจารณาเลือกการเดินทาง

การเดินทาง Public Transportation ในยุโรปตะวันออกมีความสะดวกสบายมาก โดยผมจะแบ่งการเดินทางออกเป็น 2 ส่วนนะครับ

1. การเดินทางภายในตัวเมือง ส่วนใหญ่แล้วก็จะเหมือน ๆ กันหมดทุกเมือง คือ

– รถไฟใต้ดินหรือเมโทร (Metro)
– รถเมล์ลากหรือโทรลิบุช (Trolley bus) ที่วิ่งตามสายเคเบิล
– รถราง (Tram) รถเมล์ (Bus)

2. การเดินทางระหว่างเมืองและการเดินทางระหว่างประเทศ

ทริปนี้เราไปกันทั้งหมด 4 ประเทศ 8 เมือง เราใช้บริการทั้งรถบัส (บริษัท Student Agency, Flix bus, CK Shuttle) และรถไฟ (ของ ÖBB, DB)

– Student Agency บริษัทนี้ให้บริการเดินรถในหลาย ๆ ประเทศในยุโรป หลายคนพอได้ยินชื่อก็จะคิดว่าบริษัทนี้ให้บริการเฉพาะนักเรียน แต่จริง ๆ แล้วเขาให้บริการกับทุกคน มี Wi-Fi Free บริการบนรถด้วยนะครับ

– CK Shuttle เป็นบริษัทที่ให้บริการในลักษณะ door-to-door service เลือกได้ว่าจะให้เขาไปรับไปส่งเราที่ไหน

– ÖBB (Österreichische Bundesbahnen) เป็นองค์กรรถไฟแห่งชาติของประเทศออสเตรีย

– DB (Deutsche Bundesbahn) เป็นบริษัทรถไฟหลักในประเทศเยอรมนี

ซึ่งเหมือนเช่นเคย ผมได้จอง online ไว้หมดแล้วจากเมืองไทย ผมสรุปให้ดูง่ายในแผนภาพนี้นะครับ

x55

x54

5. Studying : ศึกษาข้อมูลทำความรู้จักยุโรปก่อนไป

สำหรับพวกเราทริปนี้เป็นการไปเที่ยวยุโรปตะวันออกครั้งแรก ดังนั้นพวกเราจะให้ความสำคัญกับการทำการบ้าน ศึกษาขอมูลก่อนไปเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะนอกจากจะหาร้านอาหารหรือสถานที่เที่ยวที่เป็น highlight หรือ the must แล้วสิ่งหนึ่งที่ไม่ควรมองข้ามคือการศึกษาข้อมูลว่าเราต้องถ่ายรูปจากจุดไหนถึงจะได้รูปภาพที่สวยงาม ซึ่งผมได้รวบรวมทริคต่าง ๆ ไว้แล้ว ถึงแม้ว่าพวกเราจะไม่ใช่มืออาชีพในการถ่ายรูป เราก็สามารถถ่ายรูปสวย ๆ ได้ครับ

x53

6. Google Mapping : ใช้คำนวณระยะทางและตำแหน่งสถานที่ต่าง ๆ เข้าไว้ด้วยกัน

เป็นการวาดภาพในหัวให้เราสามารถจินตนาการได้ว่าสถานที่เที่ยวต่าง ๆ อยู่ตรงไหนบ้าง ใกล้หรือไกลแค่ไหนจะได้วางแผนได้ว่าจะเดินไปหรือนั่งรถไฟเป็นต้น ซึ่งผมจะใช้ Google map แล้วเอามาใส่ใน Excel ทำแผนที่ท่องเที่ยวแบบเดียวกันนี้กับทุกเมืองทั้ง 8 เมืองตลอดทริปนี้ครับ ดั่งตัวอย่างรูปนี้เป็นเมืองปราก

x51

7. Internet Sim/Pocket Wi-Fi : เลือกใช้อะไรดี

ขอรีวิวจากประสบการณ์ตรงเลยนะครับ ประทับใจกับ AIS SIM2Fly มาก สัญญาณอินเทอร์เน็ตถือว่าแรงดีเลยทีเดียว ในทุก ๆ เมืองที่ผมไปตลอดทริปนี้ ผมใช้ทั้ง Facebook Live, Upload รูปลง Social Network ตลอดเวลา หรือใช้ Google map หาเส้นทาง บอกเลยว่า 4GB ยังเหลือครับ แนะนะเลยครับว่า Sim2Fly ของ AIS เป็นทางเลือกที่น่าสนใจมาก 899 บาท สามารถเล่นเน็ตได้เต็มสปีด 4GB นาน 15 วัน ผมว่าวิธีคำนวณจำนวน GB ที่ใช้ต่างจากบ้านเราครับ เพราะว่าผมใช้อย่างไงก็ไม่เกินครับ ส่วน Pocket Wi-Fi ขอเสียคือราคาแพงกว่า และคุณต้องจับกลุ่มกันไปตลอดทริป ไม่งั้นสัญญาณ Wi-Fi จะหลุดทันทีต่างกับ internet sim ที่ให้อิสระในการใช้งานมากว่านั้นเอง

8. Travel Budget – 55,500 บาท/คน

ค่าใช้จ่ายตลอดทริปของพวกเรา 4 ประเทศ 8 เมืองรวมทั้งหมด 13 วัน โดยแบ่งตามประเภทค่าใช้จ่าย ดังนี้

x52

Part 2 : Time to Explore Eastern Europe

Budapest (Hungary) – โรแมนติก สวยทุกมุมมอง

บูดาเปสต์เมืองนี้อาจไม่คุ้นหูคนไทยเท่าไรเมื่อเปรียบเทียบกับปรากหรือเวียนนา แต่ผมอยากจะบอกว่าเป็นเมืองที่ผมประทับใจมากที่สุดในทริปนี้เลยทีเดียว มันมีความคลาสสิกไปซะทุกที่ในเมืองนี้ มีความเก่าแก่ทางสถาปัตยกรรม สถานีรถไฟ ตึกร้านค้า ร้านอาหาร รวมถึงผู้คนที่นี่ก็ใจดีด้วยครับ

บูดาเปสต์เป็นเมืองที่เก่าแก่มากที่สุดแห่งหนึ่งของยุโรป มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน บูดาเปสต์เป็นเมืองหลวงของประเทศฮังการี โดยถูกแบ่งเป็นสองฝั่งโดยมีแม่น้ำดานูบ (Danube) ไหลผ่าน คือ Buda เป็นฝั่งเมือง

x50

1. Fisherman’s Bastion

เช้าวันแรกที่บูดาเปสต์ พวกเราตื่นนอนกันแต่เช้าเดินทางไป Fisherman’s Bastion เพื่อถ่ายรูปให้ได้แสงยามเช้า เมื่อก่อนที่นี่เป็นป้อมปราการ ชาวประมงใช้เป็นที่ป้องกันข้าศึกหันหน้าออกสู่แม่น้ำดานูบ ซึ่งปัจจุบันเป็นจุดชมวิวยอดนิยมที่สวยงามมาก สามารถมองเห็นอาคารรัฐสภา Hungarian Parliament Building ที่อยู่ติดแม่น้ำดานูบ สวยงามมากจริง ๆ

x49

x48

2. Chain Bridge

สะพานเชน (Chain Bridge) หรือสะพานโซ่ ว่ากันว่าเป็นหนึ่งในสะพานที่สวยที่สุดในยุโรป สร้างขึ้นมาเพื่อข้ามแม่น้ำดานูบ จุดนี้เป็นจุดไฮไลท์ของที่นี่เลยครับ เป็นสะพานที่มีความสวยงาม ตรงสะพานเชนนี้มีรูปปั้นแกะสลักสิงโต ในยามค่ำคืนสะพานนี้จะเปิดไฟสวยงามมากเช่นกัน

x47

x46

3. St.Stephen’s Basilica – มหาวิหารเซนต์สตีเฟ่น บาซิลิกา

อาสนวิหารที่สร้างขึ้นอุทิสแก่นักบุญสตีเฟ่น ท่านเป็น “ปฐมมรณสักขี” เป็นคนแรกที่ยอมพลีชีพเพื่อศาสนาคริสต์ ท่านถูกขว้างด้วยก้อนหินจนตาย ราวปี ค.ศ. 35

x45

x3

4. Liberty Bridge

เป็นอีกหนึ่งสะพานที่เซื่อมระหว่างฝั่ง Buda (เมืองเก่า) กับฝั่ง Pest (เมืองใหม่) เข้าด้วยกัน เป็นสะพานที่มีสีเขียว อยู่ใกล้กับ Gellért Hill ตัวสะพานจะไปบรรจบกับทางเข้า Central Market Hall

x44

x43

5. New York Cafe ร้านกาแฟที่สวยที่สุดในโลก

ไม่ว่าคุณจะดื่มกาแฟหรือไม่ ก็ไม่ควรพลาดที่นี่ด้วยประการทั้งปวง New York Cafe เป็นคาเฟ่ที่ได้ชื่อว่าสวยที่สุดในโลก โดยคาเฟ่แห่งนี้ได้ถูกสร้างในแบบ Italian Renaissance ในปี 1894 ภายในตบแต่งด้วยสีเหลืองทองหรูหราอย่างมาก หลายคนคงสงสัยทำไมชื่อ New York ที่มาของชื่อเป็นเพราะอดีตเคยเป็นสำนักงานใหญ่ของ New York Life Insurance Company (NYLIC) ประจำที่กรุงบูดาเปสต์มาก่อนนั้นเอง ก่อนจะมาทำเป็นคาเฟ่ร้านกาแฟในปัจจุบัน

x42

6. Hungarian Parliament Building

อาคารรัฐสภาที่สวยที่สุดในโลก ผมยกให้เป็นไฮไลท์อันดับหนึ่งของผมเลยครับ เป็นอีกสถานที่หนึ่งที่ผมประทับใจมาก และที่ต้องไม่พลาดด้วยประการทั้งปวงคือการนั่งเรือล่องแม่น้ำดานูบ ยิ่งยามค่ำคืนเขาจะเปิดไฟที่ตัว Hungarian Parliament และ Chain Bridge สวยงามมากจริง ๆ

Tips : เราสามารถหาซื้อตั๋วนั่งเรือล่องแม่น้ำดานูบได้ที่บริเวณสะพานเชน มีหลายเจ้าให้เราเลือก ราคาไม่ค่อยต่างกันมากประมาณคนละ 270 บาท (2,200 โฟรินท์)

x41

x40

Prague (Czech Republic) – เมืองเก่าที่ยังคงมีมนตร์ขลังเหนือกาลเวลา

มีคำกล่าวเอาไว้ว่า “เข็มนาฬิกาที่เมืองปราก ไม่ได้เดินช้ากว่าที่อื่น แต่ “กาลเวลา” ของปรากต่างหากที่เดินช้ากว่าเข็มนาฬิกา” ผมเห็นด้วยกับคำกล่าวนี้ทุกประการครับ ผมประทับใจมากกับบรรยากาศสะพานชาลส์ในตอนรุ่งเช้า แสงอาทิตย์สีเหลืองอ่อนเป็นฉากหลังของรูปปั้นโลหะของเหล่านักบุญสไตล์บารอกสีดำ ผมสัมผัสได้ถึงความเก่าแก่ของที่นี่มันมีมนตร์ขลังอย่างบอกไม่ถูก

กรุงปราก (Prague) หรือที่คนท้องถิ่นว่าจะออกเสียงว่า ปราฮา (Praha) เป็นเมืองหลวงของสาธารณรัฐเช็ก (Czech Republic) มีประวัติศาสตร์ยาวนานนับพันปีเลยทีเดียว กรุงปรากตั้งอยู่บนสองฝั่งแม่น้ำวัตตาวา (Vltava) ปรากขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองที่มีชื่อเสียงและสุดโรแมนติกอีกเมืองหนึ่งของยุโรป ปรากมีสถาปัตยกรรมที่งดงามมาก พรั่งพร้อมไปด้วยศิลปะและดนตรี ปรากได้รับการประกาศให้เป็นเมืองมรดกโลก (UNESCO World Heritage Sites in Czech Republic)

x39

x38

Charles Bridge (สะพานชาลส์)

สะพานชาลส์ (Charles Bridge) เป็นสะพานเก่าแก่สไตล์โกธิคที่ทอดข้ามแม่น้ำวัลตาวา (Vltava) ที่เชื่อมระหว่าง Old Town และ Little Town ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการท่องเที่ยวและถ่ายรูปคือตอนเช้า เราจะได้สัมผัสกับประสบการณ์ที่ดี เพราะช่วงเวลานี้ผู้คนไม่พลุกพล่าน พวกเราตื่นกันแต่เช้า 05.30 น. ตั้งใจจะไปถ่ายรูปแสงเช้าตอนพระอาทิตย์ขึ้น

ทั้งสองข้างของสะพานชาลส์จะประดับไปด้วยรูปปั้นของนักบุญในศาสนาคริสต์ทั้งหมด 30 รูป ตามตำนานเล่าว่าท่านเหล่านั้นถูกโยนลงแม่น้ำวัลตาวาโดยกษัตริย์พระองค์หนึ่ง เนื่องจากท่านนักบวชปฏิเสธที่จะเปิดเผยความลับว่าพระราชินีของพระองค์มาสารภาพบาปว่าอะไรบ้าง ท่านยอมที่จะให้ความลับนั้นตายไปกับตัวของท่านเอง

x37

x36

x35

x20

x33

St. Vitus Cathedral (มหาวิหารเซนต์วิตัส)

สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1344 ด้วยศิลปะแบบโกธิค เป็นที่เก็บมงกุฎเพชรซึ่งทำขึ้นในสมัยพระเจ้าชาลส์ที่ 4 เป็นวิหารที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ที่โดดเด่นที่สุดของพระราชวังปราก (Prague Castle)

x32

ผมชอบรถรางที่ปรากครับ มีความสวยงามและคลาสสิกมากจริง ๆ

x31

x30

Cesky Krumlov – เชสกีกรุมลอฟ เมืองเล็ก ๆ ดุจเทพนิยาย

ถ้าคุณเป็นคนชอบดูหนังแนวเทพนิยายที่มีความแฟนตาซีแบบผม อย่างเช่นเรื่อง Lord of the Ring, Narnia, Hobbit คุณจะต้องชอบที่นี่มากอย่างแน่นอน เพราะเมืองนี้เต็มเปี่ยมด้วยบรรยากาศของเทพนิยาย ซึ่งให้อารมณ์ความรู้สึกย้อนยุคจนคุณไม่อยากกลับไปในโลกปัจจุบัน

เชสกีกรุมลอฟเป็นเมืองเล็ก ๆ ในภูมิภาคโบฮีเมียใต้ของสาธารณรัฐเช็ก มีชื่อเสียงในด้านสถาปัตยกรรมหลังคาสีส้ม บ้านเรือนที่นี่เขาแต่งได้น่ารักมาก เราใช้เวลาเดินเที่ยวทั้งวันสำหรับ Old Town Square ซึ่งเป็นจัตุรัสเมืองเก่าแห่งนี้และ Cesky Krumlov Castle ปราสาทครุมลอฟ มีอายุเก่าแก่กว่า 700 ปี

x29

x28

x27

x26

x25

x24

Hallstatt (Austria) ฮัลล์สตัทท์ เมืองริมทะเลสาบวิวมรดกโลก

วินาทีแรกที่ผมได้มาถึงฮัลล์สตัทท์ ผมรู้สึกสตั๊นต์ไปชั่วขณะ ทำไมมันสวยงามได้ขนาดนี้ พร้อมกับรู้สึกแอบอิจฉาคนที่เขาอยู่ในหมู่บ้านแห่งนี้ พวกเขาจะได้ตื่นนอนมาแล้วเจอกับวิวทะเลสาบที่ถูกห้อมล้อมไว้ด้วยหุบเขาแบบนี้ในทุก ๆ เช้า

ฮัลล์สตัทท์ได้ชื่อว่าเป็นเมืองริมทะเลสาบที่สวยที่สุดในโลก และยังเป็นหนึ่งในเมืองท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมมากเป็นอันดับต้น ๆ ของประเทศออสเตรีย (Austria) เชื่อหรือไม่ครับว่าฮัลล์สตัทท์มีประชากรไม่ถึงพันคน (ประชากร 946 คน จากการสำรวจปี 2001)

Tips : ที่พักของพวกเราอยู่ฝั่ง Obertraun ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับฝั่ง Hallstatt เราพักที่โรงแรมชื่อ Seehotel am Hallstätter See, ที่ Obertraun ที่พักจะมีราคาถูกกว่าที่ตัว Hallstatt เราสามารถนั่งเรือข้ามฟากไปเที่ยวฝั่ง Hallstatt ได้โดยตัวโรงแรมอยู่ติดกับท่าเรือเลยครับ

I wanna wake up and see this View every day.

x23

x22

x21

x20

Salzburg (Austria)

จากฮัลล์สตัทท์พวกเรานั้ง OBB train มาลงที่ Bad Ichi แล้วนั่งรถบัสต่อไปที่ Salzburg Hbf ซึ่งเป็นสถานีรถไฟหลักของเมือง Salzburg คำว่า “ซาลส์” (Salz) เป็นภาษาเยอรมันที่แปลว่า “เกลือ” คล้ายกับคำว่า “ซอลท์” (Salt) ในภาษาอังกฤษครับ

Salzburg แบ่งเป็น 2 ฝั่ง คือฝั่งเมืองใหม่และฝั่งเมืองเก่า โดยมีแม่น้ำ Salzach ไหลผ่านกลางเมือง ได้ขึ้นเป็นมรดกโลกจากองค์การยูเนสโกเมื่อปี 1997 หลายคนอาจยังไม่ทราบว่าเมืองซาลส์บวร์ก Salzburg เป็นบ้านเกิดของคีตกวีชื่อดังระดับโลกอย่าง โมสาร์ท (Mozart) และเป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์ระดับโลกอย่าง The Sound of Music ที่โด่งดัง เมืองนี้มีอะไรน่าเที่ยวบ้าง ตามพวกเราไปเลยครับ

* Tips : สำหรับคนที่ไม่ได้ค้างที่เมือง Salzburg นี้ เราสามารถฝากกระเป๋าได้ที่สถานีรถไฟ Salzburg Hbf แล้วค่อยเดินเที่ยว โดยเราไม่ต้องซื้อตั๋วรถอะไรทั้งนั้น เพราะจุดท่องเที่ยวแต่ละที่ในเมืองนี้ไม่ห่างจากสถานีรถไปหลัก Salzburg Hbf มากนัก 800-900 เมตรโดยประมาณ

x19

Mirabell Gardens (สวนมิราเบล)

เป็นสวนสาธารณะที่สวยที่สุดในซาล์ลบวร์ก ซึ่งเดิมทีเป็นสวนในพระราชวัง เป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์ดังระดับโลก The Sound of Music เรื่องย่อมีอยู่ว่าพ่อม่ายนายพันเศรษฐี มีลูกติด 7 คน ซึ่งเลี้ยงลูกด้วยความเข้มงวด ทำให้ลูก ๆ แต่ละคนมีนิสัยก้าวร้าว แข็งกระด้าง ต่อมาคุณพ่อม่ายก็ได้จ้างแม่ชีสาวสวยนามว่า มาเรีย มาเป็นพี่เลี้ยงคนใหม่ เธอถูกกลั่นแกล้งโดยเด็ก ๆ ทั้ง 7 คน แต่เธอก็รับมือกับเด็ก ๆ ได้ และกลายเป็นที่ชื่นชอบของเด็ก ๆ เสียด้วย เธอสอนให้เด็ก ๆ รู้จักการร้องเพลงและการแสดง จนบ้านหลังนี้ดูมีชีวิตชีวาขึ้น ในที่สุดผู้พันก็ตกหลุมรักมาเรียและแต่งงานกันในที่สุด

x18

x17

จัตุรัสเรสซิเดนท์ (Residenzplatz)

เป็นจัตุรัสย่านกลางเมืองอยู่ใกล้มหาวิหารแห่งเมืองซาลส์บวร์ก ( Salzburg Cathedral)

x16

x15

Munich (Germany)

Munich แต่คนเยอรมันจะเรียกกันว่า มึนเช่น (München) ตัวเมืองตั้งอยู่บนแม่น้ำอิซาร์ (Isar) เหนือเทือกเขาแอลป์ เป็นเมืองหลวงของรัฐบาวาเรีย (Bavaria) หรือในภาษาเยอรมันที่เรียกว่า บาเยิร์น (Bayern)

จาก Salzburg พวกเรานั้งรถไฟไป Munich โดยซื้อตั๋ว Bayern Ticket 4 คน 43 ยูโร (เฉลี่ยตกคนละ 11 ยูโร เอง) โดยเป็นตั๋วแบบเหมาขึ้น-ลงกี่ครั้งก็ได้

– วันจันทร์-ศุกร์ ตั๋ว Bayern Ticket จะสามารถเริ่มใช้งานได้ตั้งแต่ตอนเช้า 09.00 น. ไปจนถึงตี 3 ในวันถัดไป (18 hours)

– วันเสาร์-อาทิตย์ Bayern Ticket จะสามารถเริ่มใช้งานได้ตั้งแต่ตอนเที่ยง 12.00 น. ไปจนถึงตี 3 ในวันถัดไป (27 hours)

Marienplatz (มาเรียนพลาตซ์)

เป็นหัวใจของเขตเมืองเก่า ในยุคกลางที่นี่เคยเป็นตลาด แต่ปัจจุบันเป็นศูนย์กลางการจัดงานสำคัญทางวัฒนธรรมต่าง ๆ

x14

Victuals Market – อยู่ใกล้ ๆ กับมาเรียนพลาตซ์ เป็นตลาดนัดขนาดย่อมของคนในมิวนิก โดยสินค้าจะมีขายทั่วไปตั้งแต่พืชผัก ผลไม้ น้ำปั่น อาหาร ร้านกาแฟ

x13

* Recommended restaurant : ฮอฟบราวเฮาส์ (Hofbräuhaus München) ส่วนตัวผมชอบบรรยากาศที่นี่มาก ครึกครื้น คือคนที่มากินที่นี่ดูมีความสุข มีดนตรีสดด้วยออกแนวย้อนยุคได้บรรยากาศมากครับ ร้านนี้เป็นร้านชื่อดังและเป็นร้านเก่าแก่ของมิวนิกคนเยอะมาก อาจจะไม่มีที่นั่งต้องรีบมานะครับ

x12

Fussen (Germany) ปราสาทนอยชวานชไตน์ Neuschwanstein

เคยไหมครับตอนเด็ก ๆ เวลาเราอ่านนิทานแล้วก็อดที่จะจินตนาการไม่ได้ว่าในอดีตคงมีพระราชา พระราชินี เจ้าหญิง เจ้าชาย และทหารองครักษ์คนรับใช้ผู้จงรักภักดี อยู่ในปราสาทหลังใหญ่ ผมก็เป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน การได้มาเที่ยวที่ปราสาทนอยชวานชไตน์ทำให้ได้เติมเต็มความคิดตอนเด็ก ๆ ว่าปราสาทเจ้าหญิงเจ้าชายมีอยู่จริงไม่ได้มีเฉพาะแต่ในนิทาน

x11

การเดินทางจาก Munich ไปปราสาท Neuschwanstein

เราซื้อตั๋ว Bayern Ticket ตั๋วสุดคุ้มที่ใช้การเดินทางในรัฐบาวาเรีย (Bavaria)

1. นั่งรถไฟจากสถานี Munchen Hbf ไปยังสถานี Fussen (ใช้เวลา 2 hrs) ใช้ตั๋ว Bayern Ticket

2. จากสถานี Fussen ต้องต่อรถบัสสีแดง (รถบัสสาย 73 หรือ 78) จอดอยู่ด้านขวาของสถานีรถไฟ เพื่อไปยังที่ทำการปราสาท (ใช้เวลา 10 นาที)

3. เมื่อถึงที่ทำการปราสาทต้องซื้อตั๋วรถ Shuttle bus สีน้ำเงิน กับตั๋วเข้าชมภายในปราสาทนอยชวานชไตน์คนละ 13 ยูโร

* Tips: การเข้าชมตัวปราสาทนอยชวานชไตน์เขามี Audio Guide เป็นภาษไทยด้วยนะครับ ภายในตัวปราสาทสวยงามมากแต่เสียดายห้ามถ่ายรูป เก็บเอาไว้ในความทรงจำก็มีความสุขมากแล้วครับ

x10

Vienna (Austria) นครแห่งดนตรีคลาสสิกและศิลปะ

Vienna หรือ Wien คือเมืองหลวงของประเทศออสเตรีย เป็นศูนย์กลางทั้งเศรษฐกิจและการปกครอง เป็นเมืองที่มีชื่อเสียงเรื่องดนตรีคลาสสิกและศิลปะ ตอนแรกพวกเราแพลนกันว่าจะไปเที่ยวพระราชวังเชินบรุนน์ (Schonbrunn) ที่มีความงดงามดั่งพระราชวังแวร์ซายของฝรั่งเศส แต่สภาพอากาศไม่เป็นใจมีฝนตกในช่วงเช้า ทำให้พวกเราต้องเปลี่ยนแพลนไปเที่ยวพิพิธพันธ์ Belvedere แทน

x9

The Belvedere (Museum – Art gallery & World Heritage Site)

สมัยก่อนที่นี่คือพระราชวังฤดูร้อน หรืออีกชื่อหนึ่งว่าพระราชวังเบลเวเดียร์ (Belvedere palace) ของเจ้าชายยูจีนแห่งซาวอย Prince Eugene of Savoy ที่ Belvedere มีงานศิลปะระดับโลกมากมาย ที่มีชื่อเสียงที่สุดคืองานจิตรกรรมสีน้ำมันปิดทองบนผ้าใบที่เขียนโดย กุสตาฟ คลิมต์ (Gustav Klimt) จิตรกรชาวออสเตรีย ภาพวาดชื่อ The Kiss ถือเป็นงานชิ้นสำคัญที่สุดของคลิมต์

x8

* Recommended restaurant : สำหรับ Dinner ต้องติดดาวให้เลย ถ้ามาเวียนนาต้องอย่าพลาดมาที่นี่ Rips of Vienna ซี่โครงหมูยาวหนึ่งเมตรหั่นสามท่อนเนื้อนุ่มมากรสชาติรับรองถูกปากคนไทย ผู้จักการร้านเป็นคนน่ารักเป็นกันเองคุยสนุก ชอบมาเที่ยวเมืองไทย มากระบี่ทุกปี พอรู้ว่าพวกเราเป็นคนไทยก็เข้ามาคุยเม้าท์มอยกันอย่างเป็นกันเอง

x7

ทำไมต้องไปเที่ยวยุโรปตะวันออก

1. ยุโรปตะวันออกมีประวัติศาสตร์มาอย่างยาวนาน ปัจจุบันก็ยังคงรักษาสถาปัตยกรรมไว้ได้อย่างดีเยี่ยม พร้อมให้ท่องเที่ยวได้มาค้นหา

2. จากที่ได้สัมผัสคนยุโรปตะวันออกมีความ Friendly มีน้ำใจ หลาย ๆ คนพอรู้ว่าพวกเราเป็นคนไทยเขาจะช่วยเหลือดีมาก แล้วเขาก็จะเล่าให้เราฟังว่าเขาไปเที่ยวที่ไหนบ้างในเมืองไทย มันทำให้เรารู้ว่าคนที่นี่ชอบมาเที่ยวเมืองไทย บางคนมาเที่ยวบ้านเราทุกปี

3. ค่าครองชีพที่นี่ไม่แพงมากเมื่อเปรียบเทียบกับยุโรปฝั่งตะวันตก ยกเว้นน้ำเปล่าแพงมาก ขวดละ 2-3 ยูโร ประมาณ70-100 บาท

4. สวรรค์ของนักดื่มเบียร์ ไวน์ ราคาถูกมาก เบียร์ขวดละไม่กี่สิบบาท ไวน์รสชาติดีขวดละแค่ร้อยกว่าบาทเองครับ

5. การเดินทางในยุโรปตะวันออกสะดวกสบายมาก ระบบขนส่งมวลชนครอบคลุมสถานที่ท่องเที่ยว และที่ผมชอบมากคือพวกตั๋วต่าง ๆ เช่นตั๋ว Day ตั๋ว Week ที่ผมตั้งชื่อให้ว่าตั๋วบูรณาการ คือตั๋วใบเดียวใช้ได้กับขนส่งมวลชนเกือบทุกประเภท

เมื่อนับข้อดีได้ 5 ข้อแล้วก็อย่าลังเลที่จะใส่ทริปยุโรปตะวันออกไว้ใน Travel list ของเพื่อน ๆ นะครับ เชื่อผมยุโรปไปเองได้ ไม่ไกลเกินฝัน

* ถ้าเพื่อน ๆ คนไหนสนใจ Google map สถานที่ท่องเที่ยวของทั้ง 8 เมือง หรือตารางการท่องเที่ยวที่เป็น Excel file เพื่อน ๆ สามารถทิ้ง email address ไว้ใน comment หรือหลังไมค์มาได้นะครับแล้วผมจะอีเมล excel file ที่รวบรวมข้อมูลทุกอย่างในทริปนี้ส่งไปให้ครับ

x6
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก คุณ Uncle bear traveller สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม

บทความอื่นๆ

  • hk01
    เที่ยวฮ่องกง วิธีการไหว้ขอพรเจ้าแม่กวนอิม ณ R...
  • r700
    เสียวขั้นสุดกับ Takabisha รถไฟเหาะตีลังกาที่ช...
  • rockpools1
    เที่ยวฮ่องกง Sai Wan Rock Pools พาไปเล่นน้ำสี...
  • k1
    ณิชา กับเพื่อน ๆ ดินเนอร์ใต้ท้องทะเล เล่นกับโ...
  • ซากุระ 2018 ญี่ปุ่น อัปเดตตารางการบานของซากุร...