VMUCZRH107TG-7 สวยสะบัด Dolomites Cinque Terre DE AT IT CH 10 วัน 7 คืน BY TG

ทัวร์ยุโรป สวยสะบัด Dolomites Cinque Terre DE AT IT CH 10D 7N (TG)

ราคาเริ่มต้น 111,888 ฿ ดาวน์โหลด PDF จองทัวร์

สายการบิน: tg

นำท่านเดินทาง เมืองเวนิส เมสเตร้ (Venice Mestre) เที่ยวชมย่านเมสเตร้ ย่านเก่าแก่ที่มีความสวยงามเเละน่าสนใจเป็นอย่างมาก เต็มไปด้วยอาคารสำคัญ สถาปัตยกรรมแบบอิตาลี ชม จัตุรัสเฟอร์เร็ตโต้ Torre dell’Orologio หอสังเกตการณ์โบราณ, วิหารเซนต์ลอว์เรนซ์ นอกจากนี้ยังมีร้านค้าเเละร้านอาหารมากมายหลาย ไม่ว่าจะเป็นร้านพิซซ่าแบบดั้งเดิม ร้านขนมโฮมเมด ช็อปเสื้อผ้าดีไซน์เนอร์แบรนด์ดังมากมายที่ให้ท่านเลือกซื้อ อิสระตามอัธยาศัย

วันที่เดินทาง

7 เม.ย. 67 – 16 เม.ย. 67

ทัวร์ยุโรป

วันอาทิตย์ที่ 7 เมษายน 2567 (1) สนามบินสุวรรณภูมิ
22.00 น. คณะพร้อมกันที่ สนามบินสุวรรณภูมิ อาคารผู้โดยสารขาออกระหว่างประเทศ ชั้น 4 เคาน์เตอร์สายการบินไทย (TG) โดยมีเจ้าหน้าที่บริษัทฯ คอยต้อนรับและอำนวยความสะดวกด้านเอกสารการเดินทาง
*** เที่ยวบินหรือเวลาอาจมีการเปลี่ยนแปลง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสายการบินเป็นผู้กำหนด ***
ขอสงวนสิทธิ์ในการเลือกที่นั่งบนเครื่องบินเนื่องจากเป็นตั๋วกรุ๊ป การจัดที่นั่งจะเป็นระบบ RANDOM
ที่นั่งอาจจะไม่ได้นั่งติดกัน ทางบริษัทไม่สามารถเข้าไปแทรกแซงได้ ซึ่งเป็นไปตามเงื่อนไขของสายการบิน

วันจันทร์ที่ 8 เมษายน 2567 (2) สนามบินมิวนิก – มาเรียนพลัทซ์ – อินส์บรูก – หลังคาทองคำ
00.50 น. ออกเดินทางสู่ ท่าอากาศยานนานาชาติมิวนิค ประเทศเยอรมนี โดยสายการบินไทย (TG) เที่ยวบินที่ TG 924 (บริการอาหารและเครื่องดื่มบนเครื่อง) (ใช้เวลาบินประมาณ 11 ชั่วโมง 15 นาที) (เวลาประเทศเยอรมนี ช้ากว่าประเทศไทย 5 ชั่วโมง)
07.05 น. ถึง ท่าอากาศยานนานาชาติมิวนิค ประเทศเยอรมนี (เวลาท้องถิ่นช้ากว่าประเทศไทย 5 ชั่วโมง)
ผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมือง และศุลกากร หลังรับสัมภาระเรียบร้อย
จากนั้น นำท่านสู่บริเวณ มาเรียนพลัทซ์ (Marienplatz) ในเขตเมืองเก่าที่เป็นเหมือนจุดเริ่มต้นของการทำความรู้จักกับมิวนิค ปัจจุบันใช้เป็นสถานที่สำหรับงานพิธีต่างๆ ที่สำคัญของเมือง ที่บริเวณจัตุรัสมาเรียนพลัสซ์นี้เองที่เราจะได้เห็น ศาลาว่าการใหม่ (New Town Hall) ที่ได้ใช้ทำการแทนศาลาว่าการเก่าตั้งแต่ปี 1874 เห็นได้ง่ายด้วยหอคอยแหลมสูงและการออกแบบและตกแต่งอย่างประณีตไม่แพ้ปราสาทหรือพระราชวัง บริเวณใกล้กันนั้นเป็น ศาลาว่าการเก่า (Old Town Hall) อาคารสีขาวสะอาดหลังนี้เป็นศาลาว่าการของเมืองมิวนิคมาตั้งแต่ปี 1310 แม้จะผ่านมากว่า 700 ปี แต่ก็ยังสวยและสง่าด้วยศิลปะสไตล์โกธิค โบสถ์พระแม่มารี (Frauenkirche-Church of Our Lady) เป็นโบสถ์ทรงหัวหอมคู่ที่สร้างด้วยอิฐแดงสูง 99 เมตร ซึ่งนับได้ว่าเป็นอีกสัญลักษณ์หนึ่งของเมืองมิวนิคเช่นกัน จากนั้นอิสระให้ท่านเดินเล่น หรือช้อปปิ้งสินค้าแบรนด์เนมตามอัธยาศัย

เที่ยง รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร
นำท่านเดินทางสู่ เมืองอินส์บูร์ก (Innsbruck) (ระยะทาง 165 กม./ 2 ชม.) เมืองสีลูกกวาดพาสเทล แห่งออสเตรีย เมืองนี้ตั้งอยู่บนที่ราบลุ่มแม่น้ำอินน์ อยู่ท่ามกลางหุบเขาของเทือกเขาแอลป์ ไม่ว่าจะมองไปทางไหน ท่านก็จะได้เห็นวิวของเทือกเขาแอลป์ที่โอบล้อมท่านอยู่ โดยคำว่า บรุค (Bruck) มีรากศัพท์มาจากภาษาเยอรมัน แปล Bridge และคำว่า Inns ก็หมายถึงชื่อแม่น้ำอินส์ รวมแล้ว Innsbruck จึงมีความหมาย Bridge over The Inn ซึ่งแปลว่าสะพานแห่งแม่น้ำอินส์ ที่มีทิวทัศน์ที่สวยงาม อากาศดีมาก จนได้รับการขนานนามว่า Capital of Alps อิสระท่านเดินเล่นบริเวณแลนด์มาร์คของเมือง Goldenes Dachl หรือหลังคาทองคำ สร้างขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองการอภิเษกสมรสครั้งที่สองของจักรพรรดิแม็กซิมิเลียนที่ 1 โดยใช้กระเบื้องทองแดงปิดทอง 2,657 แผ่น ในการมุงหลังคากว้าง 16 เมตร เพื่อพยายามลบข่าวลือว่าสถานภาพทางการเงินที่ไม่ดีในช่วงนั้น

เย็น อิสระอาหารเย็น ตามอัธยาศัย
ที่พัก Hotel Edelmann´s ระดับ 3 ดาว หรือเทียบเท่า

วันอังคารที่ 9 เมษายน 2567 (3) อินส์บรูก – ซานตา มาดดาเลน่า – ทะเลสาบบรายเอียซ – บริกเซน
เช้า รับประทานอาหารเช้า ณ โรงแรมที่พัก
จากนั้นนำท่านข้ามพรมแดนออสเตรีย – อิตาลี เก็บภาพความประทับใจกับวิวไฮไลท์ ของเทือกเขา Dolomites ณ หมู่บ้าน Santa Maddalena (ระยะทาง 140 กม./ 2 ชม.) ถ่ายรูปกับหนึ่งจุดไฮไลต์ด้วยวิวยอดเขาแปลกตาอีกแห่งหนึ่งในโดโลไมท์ ณ โบสถ์ Santa Maddalena โบสถ์ที่ถือเป็นสถานที่ไฮไลท์ที่ถูกถ่ายรูปมากที่สุด ในอุทยานโดโลไมท์ มีวิวทิวทัศน์ที่สวยงามมีฉากหลังเป็นเทือกเขา Odles

เที่ยง รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร

นำท่านเดินทางสู่ ทะเลสาบบรายเอียซ (Braies) (ระยะทาง 60 กม./ 1ชม.) ซึ่งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติ Fanes Sennes Braies เขตป่าสงวนที่ใหญ่ที่สุดใจกลางเทือกเขาโดโลไมท์ เพื่อชมความงามของทะเลสาบ ตั้งอยู่ริมขอบทางทิศเหนือของอุทยานมีทางเดินอย่างดีเป็นวงกลมรอบทะเลสาบ อิสระให้ท่านเก็บภาพความประทับใจ

สมควรแก่เวลานำท่านเดินทางสู่ เมืองบริกเซน (Brixen , Bressanone) (ระยะทาง 60 กม./ 1 ชม.) เมืองเก่าแก่ในแคว้นทิโรลใต้ ชมโบวถ์ประจำเมือง ที่ถูกสร้างขึ้นครั้งแรกศตวรรษที่ 10 และมีการบูรณะซ่อมแซมใหม่ในศตวรรษที่ 18 สไตล์บาโรก ที่สวยงาม อิสระให้ท่านได้ชมเมืองเล็ก ๆ บรรยากาศน่ารัก สีสันสวยงาม รายล้อมไปด้วยร้านค้า ร้านอาหาร คาเฟ่ ที่ท่านสามารถเดินเล่น ช้อปปิ้ง ทานอาหาร อย่างเพลิดเพลิน
เย็น อิสระอาหารเย็น ตามอัธยาศัย
ที่พัก Hotel Jarolim ระดับ 3 ดาว หรือเทียบเท่า

วันพุธที่ 10 เมษายน 2567 (4) บริกเซน – ทะเลสาบมิซูริน่า – คอร์ตินา ดัม เปซโซ่ – เวนิส เมสเตร้
เช้า รับประทานอาหารเช้า ณ โรงแรมที่พัก

จากนั้นนำท่านเดินทางสู่ที่ตั้งทะเลสาบมิซูริน่า (Misurina See) (ระยะทาง 80 กม./ 1.30 ชม.) ทะเลสาบที่หลบซ่อนตัวในหุบเขาที่ถือเป็นสถานที่ ท่องเที่ยวที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งในโดโลไมท์ นำท่านเดินเล่นชมวิวทะเลสาบเก็บภาพสุดแสนประทับใจ

นำท่านเดินทางสู่ เมืองคอร์ตินา ดัม เปซโซ่ (Cortina D’ Ampezzo) (ระยะทาง 15 กม./ 20 นาที) เมืองสกีรีสอร์ทที่ตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติเทือกเขาโดโลไมท์ (Dolomites) หรือโดโลมิติ ตามการเรียกขานของชาวอิตาลี เมืองนี้เป็นสกีรีสอร์ท Best of The Alps เพียงแห่งเดียวในอิตาลีที่ได้รับการยกย่องให้เป็น 1 ใน 10 ของสกีรีสอร์ทที่ดีที่สุดในโลก ถือว่าเป็นอีกหนึ่งไข่มุกแห่งโดโลไมท์

เที่ยง รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร

จากนั้น นำท่านเดินทาง เมืองเวนิส เมสเตร้ (Venice Mestre) เที่ยวชมย่านเมสเตร้ ย่านเก่าแก่ที่มีความสวยงามเเละน่าสนใจเป็นอย่างมาก เต็มไปด้วยอาคารสำคัญ สถาปัตยกรรมแบบอิตาลี ชม จัตุรัสเฟอร์เร็ตโต้ Torre dell’Orologio หอสังเกตการณ์โบราณ, วิหารเซนต์ลอว์เรนซ์ นอกจากนี้ยังมีร้านค้าเเละร้านอาหารมากมายหลาย ไม่ว่าจะเป็นร้านพิซซ่าแบบดั้งเดิม ร้านขนมโฮมเมด ช็อปเสื้อผ้าดีไซน์เนอร์แบรนด์ดังมากมายที่ให้ท่านเลือกซื้อ อิสระตามอัธยาศัย
เย็น อิสระอาหารเย็น ตามอัธยาศัย
ที่พัก Hotel Mondial ระดับ 3 ดาว หรือเทียบเท่า

วันพฤหัสบดีที่ 11 เมษายน 2567 (5) เวนิส เมสเตร้ – เกาะเวนิส – พระราชวังดอดจ์ – จัตุรัสเซนต์มาร์ค – มหาวิหารเซนต์มาร์ก – Bridge of Sighs – เมสเตร้ – โบโลญญา – ปิซ่า – หอเอนปิซ่า
เช้า รับประทานอาหารเช้า ณ โรงแรมที่พัก
นำท่านล่องเรือ สู่ เกาะเวนิส (Venice) หรือเวเนเซีย (Venezia) มหานครลอยน้ำสุดแสนจะโรแมนติก เมืองเวนิสได้รับฉายาว่าเป็น ราชินีแห่งอาเดรียติก (Queen of the Adriatic), เมืองแห่งสายน้ำ (City of Water), เมืองแห่งสะพาน (City of Bridges) และเมืองแห่งแสงสว่าง (The City of Light) เมืองแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นจากการเชื่อมเกาะเล็กใหญ่กว่า 118 เกาะ เข้าด้วยกันด้วยสะพานเชื่อมกว่า 400 แห่ง ใช้เรือเป็นพาหนะหลักในการเดินทาง นอกจากนี้ยังได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นเมืองมรดกโลกโดยองค์กร UNESCO เมื่อค.ศ. 1987

ชม จัตุรัส ซานมาร์โค (Piazza Sa n Marco) อันเลื่องชื่อ หนึ่งในจัตุรัสที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งของอิตาลี ชมวังดูคาเล (Palazzo Ducale) หรือวังดอจ (Doge Palace) อันเป็นที่ประทับของผู้ปกครองเวนิส ถูกก่อสร้างมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 9 แต่ได้รับการตกแต่ง และก่อสร้างเพิ่มเติมหลายครั้ง รูปโฉมด้านนอกในปัจจุบันเป็นผลงานจากศตวรรษที่ 19 เป็นศิลปะแบบโกธิก ได้รับการตกแต่งด้วยหินอ่อนสีชมพูจากเมืองเวโรน่า ภายในตกแต่งด้วยศิลปะหลายยุคสมัย แบ่งเป็นห้องต่างๆ มากมาย ประดับไว้ด้วยภาพวาดโดยศิลปินเวนิส จากนั้นอิสระให้ท่านเก็บภาพบรรยากาศความสวยงามของกลุ่มอาคาร และสถาปัตยกรรมรอบๆจัตุรัสซานมาร์โค อาทิ หอระฆัง หอนาฬิกา รวมไปถึงร้านอาหาร และร้านคาเฟ่เล็ก ๆ และโบสถ์ซานมาร์โค หรือ มหาวิหารเซ็นต์มาร์ก ที่ตัวโบสถ์นั้นสร้างตามแบบสถาปัตยกรรมที่ผสมผสานระหว่างไบแซนไทน์ เรอเนสซองซ์ และยอดโดมแบบตะวันออกสไตล์มุสลิม สร้างขึ้นเพื่อบรรจุพระศพของเซนต์มาร์ก ส่วนภายในมีภาพจิตรกรรมโมเสกสีทองที่ประดับเรียงกันตามผนัง ซึ่งถ้าจะนับพื้นที่รวมของภาพโมเสกเหล่านี้ นับได้ถึง 4,000 ตารางเมตร จนได้รับการกล่าวขานว่าเป็น“วิหารทอง”

เที่ยง รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร

สมควรแก่เวลานำท่านนั่งเรือกลับเข้าสู่ฝั่งเมสเตร (Mestre)

จากนั้น นำท่านเดินทางสู่ เมืองโบโลญญา (Bologna) เมืองหลวงแคว้น Emilia Romagna มีประชากรหนาแน่นลำดับที่ 7 ของอิตาลี มีมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่ที่สุด คือ University of Bologna (UNIBO) ที่ก่อตั้งในปี 1088 เดินทางเข้าสู่ จัตุรัส Piazza Maggiore ชม น้ำพุเนปจูน (Fontana del Nettuno) ตั้งอยู่ใจกลางจัสตุรัส เอกลักษณ์ของเมือง ออกแบบโดย Giambologna เป็นผู้ออกแบบเทพเนปจูน น้ำพุแห่งนี้เป็นน้ำพุที่อีโรติกในอิตาลี มีความเชื่อที่ว่า หากวิ่งทวนเข็มนาฬิการอบน้ำพุนี้จะทำให้สอบผ่าน Palazzo Del Podesta พระราชวังเก่า โดยชั้นล่างจะสร้างเป็นเพดานรูปโค้ง เป็นที่ตั้งของร้านค้าต่าง ๆ บริเวณตรงกลางชั้นล่างนั้นจะมีลักษณะคล้ายอุโมงค์ โดยมีรูปแกะสลักของนักบุญ 4 องค์ คือ St.Domenico St.Petronio St.Pro-colo และ St.Francesco ชม Palazzo d’Accursio o Comunale ที่ทำการเมืองหลังเก่าที่เชื่อมต่อกับหลาย ๆ อาคารเข้าด้วยกัน มีหอนาฬิกาที่ต่อเติมด้วยการออกแบบของสถาปนิก Fioravante มีรูปปั้นพระสันตะปาปา Gregory XII ผู้ต้นกำเนิดเมืองโบโลญญา มหาวิหาร Basillica di San Petronio หอคอยคู่เมืองโบโลญญา (Two Towers of Bologna) หอคอยที่มีชื่อเสียงและเป็นแลนด์มาร์คของเมือง นั้นคือหอคอย Asinelli และ หอคอย Garisenda หอคอยคู่ตั้งอยู่ในจัตุรัส Piazza di Porta Ravegnana หอคอยคู่นี้เป็นหอคอยสูง มีลักษณะที่แตกต่างกัน มีความสูงไม่เท่ากัน หอคอยนี้จะไม่ได้ตั้งตรง จะมีลักษณะเอียงไปจากฐานไปคนละด้านเหมือนหอคอยปิซ่าเลยทีเดียว อิสระให้ท่านเดินชมเมืองตามอัธยาศัย
จากนั้น นำท่านเดินทางสู่ เมืองปิซ่า (Pisa) เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ในแคว้นตอสคานา ประเทศอิตาลี พาท่านชม หอเอนเมืองปิซ่า 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก ใช้เวลาในการก่อสร้างกว่า 200 ปี โดยแบ่งออกเป็น 3 ช่วง ช่วงแรกเป็นเริ่มก่อสร้างเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม ค.ศ.1173 ไม่ปรากฏชัดเจนว่าใครเป็นคนออกแบบ เมื่อสร้างไปได้ 3 ชั้น การก่อสร้างก็มีอันต้องยุติลง เพราะเมืองปิซ่าเข้าสู่ภาวะสงคราม ระหว่างการก่อสร้างช่วงแรก เพียงแค่ 5 ปี หลังจากเริ่มทำการก่อสร้างก็พบว่า หอคอยแห่งนี้ก็เริ่มเอนลงไปทางเหนือแล้ว โดยครั้งแรกที่สามารถสังเกตเห็นความผิดปกติของหอคอยแห่งนี้ก็ในช่วงที่มีการก่อสร้างเพิ่มเติมช่วงที่สอง แต่ทว่าสถาปนิก จิโอวานนี ดิ ซิโมเน ก็ยังคงเดินหน้าสร้างต่อ โดยปัจจุบันนี้ หอเอนเมืองปิซ่า ลาดเอียงลงมาประมาณ 13 องศาแล้ว ซึ่งผู้เชี่ยวชาญระบุว่า หอเอนมีโอกาสพังถล่มลงมาแน่นอน โดยทุก ๆ 20 ปี หอคอยแห่งนี้จะเอนลง 1 นิ้ว และมีคนทำนายว่า หอคอยแห่งนี้จะพังถล่มลงมาในปี 2200 หากยังไม่มีใครหาทางป้องกันได้

เย็น อิสระอาหารเย็น ตามอัธยาศัย
ที่พัก Hotel Butterfly ระดับ 3 ดาว หรือเทียบเท่า

วันศุกร์ที่ 12 เมษายน 2567(6) ปิซ่า – ชิงเกว แตร์เร (Cinque Terre) – เมืองเลวานโต้ (Levanto) – หมู่บ้านริโอ แมกจิโอเร่ (Rio – Maggiore) – มานาโรล่า (Manarola) – หมู่บ้านเวร์นาซซา (Vernazza) – มิลาน – มหาวิหารแห่งมิลาน – ช้อปปิ้ง Galleria Vittorio Emanuele II
เช้า รับประทานอาหารเช้า ณ โรงแรมที่พัก
จากนั้นนําท่านเดินทางสู่เมือง เมืองเลวานโต้ (Levanto) (ระยะทางประมาณ 100 กม. / 1.30 ชม.) อีกหนึ่งเมืองที่มีความสวยงามของภูมิภาคลิกูเลีย เมืองนี้ยังเคยเป็นที่พำนักของขุนนางคนสำคัญตั้งแต่สมัยอาณาจักรโรมัน ทำให้มีวิลลาสวย ๆ ตั้งเรียงรายอยู่บนเนินเขา และยังเป็นเมืองที่ปลูกต้นมะกอกคุณภาพดีที่สุดแห่งหนึ่งของอิตาลี
นําท่านโดยสารรถไฟ สู่ ชิงเกว แตร์เร (Cinque Terre) หมู่บ้านเล็กๆ ที่ตั้งอยู่บริเวณริมชายฝั่งริเวียร่าของอิตาลี ที่มีความหมายว่า “ดินแดนทั้งห้า (Five Land)” ตั้งบนหน้าผาสูงชันเหนือทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ติดทะเลบริเวณชายฝั่งแคว้นลิกูเรีย ประกอบด้วยหมู่บ้าน 5 แห่ง ได้แก่ MONTEROSSO AL MARE, VERNAZZA, CORNIGLIA, MANAROLA และ RIO MAGGIORE โดยทั้งห้าหมู่บ้านนี้มีหุบเขาล้อมรอบ ประกอบกันเป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติฯ และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากยูเนสโก้อีกด้วย นําท่านเดินเล่นชม หมู่บ้านริโอแมกจิโอเร่ (Rio – Maggiore) เป็นหมู่บ้านประมง เล็กๆ ที่มีเสน่ห์และมีบรรยากาศเหมือนเมืองตุ๊กตา บ้านเรือนที่ตั้งลดหลั่นกันบนหน้าผาที่ปกคลุมด้วย ต้นไม้เขียวขจีตัดกับนํ้าทะเลเมดิเตอร์เรเนียนสีเทอร์ควอยซ์

กลับขึ้นรถไฟไปต่อยัง หมู่บ้านมานาโรล่า (Manarola) ที่ถือได้ว่าเป็นหมู่บ้านที่เก่าแก่ที่สุดในห้าหมู่บ้าน ที่สร้างมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1338 อาคารสีสันสดใสที่ตั้งเรียงรายไล่ระดับลงมาหน้าผา ตัดกับสีของน้ำทะเลที่ท่านจะต้องเพลิดเพลินไปกับการเดินเล่นชมเมือง

เที่ยง อิสระอาหารกลางวันตามอัธยาศัยเพื่อให้ท่านชมความงดงามและถ่ายรูปเป็นที่ระลึก
นำท่านกลับขึ้นรถไฟไปต่อยัง หมู่บ้านเวร์นาซซา (Vernazza) หมู่บ้านชาวชาวประมงเล็กๆ ที่ได้รับความนิยมและมีชื่อเสียงเรื่องความสวยงามของบ้านเรือนที่อยู่ติดทะเล โดยมีโบสถ์หลังเล็กตั้งเด่นเป็นเเลนด์มาร์คอยู่ริมอ่าวคือ โบสถ์ Santa Margherita di Antiochia สร้างขึ้นตั้งเเต่ราวศตวรรษที่ 9 มี หอนาฬิกาเเปดเหลี่ยม ตั้งอยู่โดดเด่นเป็นสง่า ไม่ไกลจากโบสถ์จะมีบันไดทางขึ้นเล็กๆ ที่แทรกตัวอยู่ระหว่างตึก เมื่อเดินตามทางขึ้นไปเรื่อยๆ จะพาเรามาอยู่ด้านหลังของโบสถ์ Santa Margherita หลังจากเดินผ่านจุด Check Point ไปอีกเล็กน้อย จะเป็นจุดชมวิว และจุดถ่ายภาพที่สวยที่สุดของหมู่บ้าน Vernazz จากจุดนี้ เราจะสามารถมองเห็นอาคารบ้านเรือนหลากสีที่ตั้งอยู่ลดหลั่น ตัดกับท้องฟ้าสดใส และท้องทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ช่วงเวลาที่เหมาะในการถ่ายภาพคือช่วงบ่ายจนถึงเย็น ถ้ามาถึง Vernazza แล้วต้องไม่พลาดที่จะมาชมวิวจากจุดนี้

สมควรแก่เวลานำท่านขึ้นรถไฟกลับสู่เมืองเลวานโต้ จากนั้นนำท่านเดินทางสู่ เมืองมิลาน (ระยะทางประมาณ 215 กม. / 3 ชม.) หนึ่งในเมืองหลักของประเทศอิตาลี เป็นศูนย์กลางเมืองหลวงแห่งแฟชั่นและการออกแบบ
นำท่านเที่ยวชมแลนด์มาร์กของเมือง ณ จัตุรัสกลางเมือง (Piazza del Duomo) ที่จัตุรัสแห่งนี้โดดเด่นนั้นนอกจากจะเป็นศูนย์กลางเมืองแล้ว ก็ด้วยเพราะเป็นสถานที่ตั้งของ มหาวิหารมิลาน (Milan Cathedral) มหาวิหารประจำเมืองขนาดใหญ่แห่งนี้คือโบสถ์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศอิตาลี เด่นด้วยศิลปะแบบโกธิคที่ตกแต่งด้านนอกด้วยยอดแหลมจำนวนมากถึง 135 ยอด พร้อมด้วยรูปแกะสลักจากหินอ่อนจำนวนมากที่ประดับอยู่โดยรอบ นำท่านถ่ายรูปกับมหาวิหารประจำเมืองภายนอก ที่บริเวณจัตุรัสแห่งนี้ยังมีสัญลักษณ์เด่นอยู่อีกนั่นก็คือ อนุสาวรีย์พระเจ้าเอ็มมานูเอลที่ 2 (Monument to Vittorio Emanuele II) อนุสาวรีย์แห่งนี้ได้ถูกสร้างขึ้นในปี 1896 เพื่อเป็นเกียรติแด่พระเจ้าวิคเตอร์ เอ็มมานูเอลที่ 2 ผู้ที่ได้ขึ้นเป็นกษัตริย์องค์แรกของอิตาลีในปี 1861 เป็นรูปปั้นทรงม้าในอิริยาบถกำลังออกรบอยู่บนแท่นหินอ่อน อิสระช้อปปิ้งที่ Galleria Vittorio Emanuele II ที่ตั้งอยู่ทางฝั่งขวาของมหาวิหารมิลาน เป็นห้างสรรพสินค้าที่เก่าแก่ที่สุดในอิตาลี โดยสร้างขึ้นในปี 1877 มากมายด้วยร้านค้า ร้านอาหาร มากมายในอาคารขนาด 4 ชั้นสองข้างทางเดินกว้าง ที่โดดเด่นมากก็คือหลังคาทรงโดมเป็นกระจกใส ทำให้สามารถช้อปปิ้งได้ในทุกสภาพอากาศ

ค่ำ รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคาร
ที่พัก Ibis Milano Malpensa Airport ระดับ 3 ดาว หรือเทียบเท่า

วันเสาร์ที่ 13 เมษายน 2567 (7) มิลาน – ยอดเขาริกิ – ล่องเรือทะเลสาบลูเซิร์น- ลูเซิร์น – สะพานไม้ชาเปล – สิงโตหินแกะสลัก
เช้า รับประทานอาหารเช้า ณ โรงแรมที่พัก
นำท่านเดินทางข้ามพรมแดนสู่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ (ระยะทางประมาณ 220 กม. / 4 ชม.)
** หากท่านมีการขอคืนภาษี (Tax refund) สินค้าที่ซื้อมาจากประเทศเยอรมนีและอิตาลี ท่านต้องทำ Tax refund ณ จุดข้ามพรมแดน เนื่องจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ไม่ได้เป็นสมาชิก EU ทำให้ไม่สามารถทำ Tax refund ของประเทศอื่นได้ **
นำท่าน นั่งรถรางสู่ยอดเขาริกิ (Mt.Rigi) ราชินีแห่งเทือกเขา เดินทางโดยรถไฟฟันเฟื่อง ท่านจะได้ชมวิวแบบ พาโนราม่า ซึ่งได้ให้บริการมาตั้งแต่ปี 1871 เพื่อขึ้นพิชิตยอดเขาริกิซึ่งมีความสูง 6,000 ฟุต หรือ 1,800 เมตร ด้วยรถกลไฟใช้ระบบไอน้ำ ซึ่งเป็นรถจักรที่เก่าแก่ที่สุดสร้างเมื่อปี 1858 แต่ได้รับบูรณะเป็นอย่างดี เพลิดเพลินกับการชื่นชมชมธรรมชาติตลอดการเดินทางจนถึง MT.RIGI KLUM เขาริกิ เป็นจุดที่สามารถมองเห็นทัศนียภาพอันงดงามที่สุดในสวิตเซอร์แลนด์ในจะมองเห็นทิวทัศน์รอบด้านได้ไกลถึง 300 กิโลเมตร เป็นจุดชมวิวทิวทัศน์ที่งดงามที่สุดของเทือกเขาแอลป์ และทะเลสาบอีก 13 แห่ง ยอดเขาริกิ เป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่นักท่องเที่ยวชื่นชอบ ตั้งอยู่ตรงกลางระหว่าง เยอรมนี และ ฝรั่งเศส ทำให้สามารถมองเห็นทั้ง 3 ประเทศ

เที่ยง รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร
สมควรแก่เวลานำท่านเดินทางลงจากยอดเขาริกิ
เปิดประสบการณ์นั่งเรือข้ามทะเลสาบลูเซิร์น เพลิดเพลินกับทัศนียภาพอันงดงามของสองข้างริมฝั่งทะเลสาบลูเซิร์น จากเมือง Weggis ไปยัง เมืองลูเซิร์น (Lucerne) เมืองท่องเที่ยวยอดนิยมอันดับหนึ่งของสวิสฯ ที่ถูกห้อมล้อมไปด้วยทะเลสาบ และขุนเขา อดีตเคยเป็นหัวเมืองของสวิตเซอร์แลนด์ ตั้งอยู่บริเวณตอนกลางของประเทศ เป็นดินแดนที่ได้รับสมญานามว่า หลังคาแห่งทวีปยุโรป (The Roof of Europe) นำท่าน ถ่ายภาพสิงโตหิน แกะสลัก แห่งลูเซิร์น (Lion Monument) ที่แกะสลักบนผาหินธรรมชาติ เพื่อเป็นอนุสรณ์รำลึกถึงการสละชีพอย่างกล้าหาญของทหารสวิสฯ ที่เกิดจากการปฏิวัติในฝรั่งเศสเมื่อปี ค.ศ. 1792 ถ่ายภาพสะพานไม้ชาแปล (Chapel Bridge) ซึ่งมีความยาวถึง 204 เมตร ทอดข้ามผ่านแม่น้ำรอยส์ (Reuss River) อันงดงาม ซึ่งเป็นเหมือนสัญลักษณ์ของเมืองลูเซิร์น เป็นสะพานไม้ที่มีหลังคาที่เก่าแก่ที่สุดในยุโรป มีอายุหลายร้อยปี สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1333 ภายหลังได้มีการบูรณะขึ้นมาใหม่หลังจากถูกไฟไหม้ โดยใต้หลังคาคลุมสะพานมีภาพวาดประวัติศาสตร์ของชาวสวิส ตลอดแนวสะพาน จากนั้นอิสระให้ท่านได้มีเวลาเพลิดเพลินไปกับเมืองลูเซิร์น และได้เลือกซื้อสินค้าของสวิสอย่างเต็มที่ เช่น ช็อคโกแลต, เครื่องหนัง, มีดพับ, นาฬิกายี่ห้อดัง อาทิเช่น Rolex, Omega, Tag Heuer เป็นต้น

เย็น อิสระอาหารเย็น ตามอัธยาศัย
ที่พัก Hotel ibis Styles Luzern City ระดับ 3 ดาว หรือเทียบเท่า

วันอาทิตย์ที่ 14 เมษายน 2567 (8) ลูเซิร์น – อินเทอร์ลาเก้น – สเปียซ – เบิร์น – ซูริค
เช้า รับประทานอาหารเช้า ณ โรงแรมที่พัก
นำท่านเดินทางสู่ เมืองอินเทอร์ลาเคน (Interlaken) (ระยะทางประมาณ 53 กม. / 1 ชม.) เมืองในรัฐแบร์นของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ตั้งอยู่บริเวณเชิงเขาทางเหนือของเทือกเขาสวิตแอลป์ เมืองนี้เป็นเมืองทางผ่านที่จะขึ้นไปยังยอดเขายุงเฟรา (Jungfrau) ซึ่งเป็นจุดที่สูงที่สุดในทวีปยุโรปที่เข้าถึงได้ด้วยรถไฟ และด้วยภูมิศาสตร์ของเมืองที่ตั้งอยู่กึ่งกลางระหว่างทะเลสาบทูน (Lake Thun) และทะเลสาบเบรียนซ์ (Lake Brienz) โดยมีแม่น้ำอาเร่เชื่อมทั้งสองทะเลสาบตัดผ่านกลางเมือง ทำให้เมืองแห่งนี้กลายเป็นสุดยอดเมืองในฝันของเหล่านักเดินทาง

จากนั้น นำท่านเดินทางสู่ เมืองสเปียซ (ระยะทางประมาณ 13 กม. / 15 นาที) อยู่ไม่ไกลจากอินเทอร์ลาเก้น เป็นเมืองเล็ก ๆ ตั้งอยู่ริมทะเลสาบทูน (Thun) โอบล้อมด้วยกลางเนินเขา ไร่องุ่น และป่าไม้ บรรยากาศเงียบสงบท่ามกลางธรรมชาติสวยงาม ชม Spiez Castle หนึ่งในปราสาทที่มีชื่อเสียงของสวิตเซอร์แลนด์ สร้างขึ้นตั้งแต่ ค.ศ. 933 โดยกษัตริย์ Rudolp II แห่งเบอร์กันดี มีอายุยาวนานกว่า 1,000 ปี ปัจจุบันจะเห็นการออกแบบสถาปัตยกรรมผสมผสานระหว่างโรมาเนสก์ เรอเนสซองส์ และบาโรก อิสระให้ท่านได้เดินเล่นในเมืองเล็ก ถ่ายรูปตามอัธยาศัย
เที่ยง อิสระอาหารกลางวัน ตามอัธยาศัย
นำท่านเดินทางสู่ กรุงเบิร์น (Bern) (ระยะทางประมาณ 34 กม. / 30 นาที) เมืองหลวงของสวิตเซอร์แลนด์ เมืองเก่าแก่ที่เต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งความโรแมนติก กรุงเบิร์นนี้สร้างขึ้นเมื่อ 800 ปีก่อน โดยมีแม่น้ำอาเร่ (Aare) ล้อมรอบตัวเมือง เสมือนเป็นป้อมปราการทางธรรมชาติ ได้รับการยกย่องจากองค์การ UNESCO ให้เป็นเมืองมรดกโลกในปี 1863 นอกจากนี้กรุงเบิร์นยังได้รับการจัดอันดับเป็น 1 ใน 10 ของเมืองที่มีคุณภาพชีวิตที่ดีที่สุดของโลกในปี 2010 โดยกรุงเบิร์นนี้มีหมีสีน้ำตาล(Bear Park) เป็นสัตว์สัญลักษณ์ของเมือง
นำท่านเดินชมมาร์กาสเซ (Marktgasse) หรือย่านเมืองเก่า (Old Town) ที่เต็มไปด้วยร้านดอกไม้ และร้านบูติค เป็นย่านที่ปลอดรถยนต์ จึงเหมาะกับการเดินเที่ยวชมอาคารเก่าแก่ อายุ 200 – 300 ปี และยังมีน้ำพุที่ออกแบบได้งดงามตั้งอยู่รอบเมือง และที่สำคัญยังสะอาดถึงขั้นสามารถดื่มได้ด้วย แวะถ่ายรูปกับหอนาฬิกาไซท์กล็อกเคนทัม Zytglogge (Clock Tower) หอนาฬิกาเก่าแก่อายุกว่า 800 ปี ตั้งอยู่ใจกลางย่านเมืองเก่า โดยก่อนครบรอบชั่วโมงในแต่ละครั้ง จะมีตุ๊กตาน่ารัก ๆ ออกมาเต้นให้ท่านได้รับชม
นำทุกท่านเข้าสู่ เมืองซูริค (Zurich) (ระยะทางประมาณ 125 กม. / 1.30 ชม.) เป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ตั้งอยู่ทางภาคกลางตอนเหนือของประเทศ ซูริคขึ้นชื่อเรื่องมนต์เสน่ห์ ของเมืองยุโรปโบราณที่มีงานสถาปัตยกรรมแบบเก่ากระจัดกระจายอยู่รายล้อมเมือง ในขณะเดียวกันก็เป็นเมืองที่มีความเจริญทางเทคโนโลยีสมัยใหม่ นำท่านชม The Rathaus หรือ Zurich Town Hall ศาลาว่าการซูริค อาคารทางสถาปัตยกรรมที่งดงามและเป็นสัญลักษณ์แห่งความรุ่งเรืองรวมถึงโบสถ์โกรสส์มุนสเตอร์ (Grossmünster) โบสถ์หอคอยคู่สูงระฟ้า และ โบสถ์ฟรอมุนสเตอร์ (Fraumünster) ที่มีหน้าต่างกระจกสีอันสวยงามโดดเด่น นำท่านแวะเก็บภาพความประทับใจและชมวิวบริเวณทะเลสาบซูริค (Zurich Lake) ที่นี่เป็นหนึ่งใน 5 ทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดในสวิตเซอร์แลนด์ เดิมเคยเป็นเส้นทางคมนาคมสายสำคัญที่ใช้สัญจรไปมาระหว่างเมือง และไหลเป็นระยะทางยาวกว่า 29 กิโลเมตร

เย็น รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคาร
ที่พัก Holiday Inn Express Zürich Airport ระดับ 3 ดาว หรือเทียบเท่า

วันจันทร์ที่ 15 เมษายน 2567 (9) ซูริค – สนามบินซูริค
เช้า รับประทานอาหารเช้า ณ โรงแรมที่พัก
อิสระให้ท่านพักผ่อนตามอัธยาศัย ก่อนเดินทางสู่สนามบินซูริค
ได้เวลาอันสมควรนำท่านเดินทางสนามบินซูริคโคลเท่น
13.30 น. ออกเดินทางสู่ประเทศไทย โดยสายการบินไทย แอร์เวย์ เที่ยวบินที่ TG971 (ใช้เวลาบินประมาณ 11 ชั่วโมง)

วันอังคารที่ 16 เมษายน 2567 (10) ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ
05.30 น. เดินทางถึงท่าอากาศยานสุวรรณภูมิโดยสวัสดิภาพ

ทัวร์ยุโรป